Would you like to make this site your homepage? It's fast and easy...
Yes, Please make this my home page!
ตำบลตำบลนาโกอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
|
การเลี้ยงปลาช่อน
การเพาะพันธุ์ปลาช่อน งานวิจัยที่ประสบความสำเร็จ
ปัญหาใหญ่ของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาช่อนเป็นอาชีพ ไม่เพียงมีต้นทุนค่าอาหารสูงเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเรื่องลูกพันธุ์ขาดแคลนด้วย ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมา ๆ ไม่สามารถเพาะพันธุ์ปลาช่อนได้ อาศัยช้อนจับจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้บางฤดูราคาซื้อขายลูกปลาค่อนข้างแพง
แม้ว่ากรมประมงได้ทำโครงการเพาะขยายพันธุ์ปลาช่อนมานานนับ 10 ปีแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร กล่าวคือ สามารถทำให้พ่อแม่พันธุ์ออกไข่ และฟักออกเป็นตัวได้ แต่อัตรารอดชีวิตน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดสิงห์บุรี กรมประมง ก็ทำโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จ สามารถผลิตลูกปลาได้จำนวนมาก ภายใต้การนำทีมของ คุณวินัย จั่นทับทิม หัวหน้าสถานีโดยได้การสนับสนุน จาก คุณสมพงษ์ สุวรรณทศ ผู้อำนวยการกองประมงน้ำจืด อย่างเต็มที่
คุณวินัย บอกว่า ในการเพาะพันธุ์ปลาช่อนแต่ละครั้งนั้น ได้ผลผลิตลูกปลาไม่ต่ำกว่า 3,000 ตัว ขณะที่ในธรรมชาติแม่ปลาฟักไข่และอนุบาลลูกปลารอดชีวิตเพียง 1,200-1,300 ตัว ต่อครอก เราทำความสำเร็จดีกว่าธรรมชาติเสียอีก
"แต่กว่าจะประสบความสำเร็จก็ใช้ความพยายามมาหลายปี จริง ๆ แล้วกรมประมงเพาะพันธุ์ปลาช่อนได้ตั้งแต่ ปี 2533 แต่มีอัตรารอดชีวิตน้อย เราได้ศึกษาหาจุดบกพร่องมาตลอดว่าเกิดจากสาเหตุอะไร สุดท้ายสรุปได้ว่า ที่ผ่านมาเราเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาช่อนไว้ในบ่อดิน เมื่อต้องการผสมพันธุ์ เราก็ดูดน้ำออก และใช้แรงงานคนลงไปจับปลา แล้วฉีดฮอร์โมนเร่งให้ปลาผสมพันธุ์กันทันที โดยไม่มีการพักปลาไว้ก่อน เราคิดว่าในช่วงเวลาลงไปจับปลา ทำให้ปลาช้ำ น้ำเชื้อและไข่ของพ่อแม่ปลาไม่มีคุณภาพดีพอ เมื่อไข่ฟักออกเป็นตัวก็อ่อนแอ และตายไปในที่สุด" คุณ วินัย กล่าว
พร้อมบอกว่า "เมื่อเราศึกษาจุดด้อยที่ผ่านมาพบว่า ก็เริ่มทำโครงการใหม่ โดยให้ความสำคัญของพ่อแม่ปลาในลำดับแรก ด้วยการนำลูกปลาหรือพ่อแม่พันธุ์ปลาจากบ่อดินมาพักไว้ในบ่อปูนซีเมนต์ โดยให้อาหารสำเร็จรูปชนิดลอยน้ำ โปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ เลี้ยงจนปลามีสุขภาพดี หรืออย่างต่ำ ประมาณ 1 เดือน ขึ้นไป ก็นำพ่อแม่พันธุ์ปลามาฉีดฮอร์โมน เพื่อให้ปลาออกไข่และฟักออกเป็นตัวต่อไป"
หลังจากฉีดฮอร์โมนกระตุ้นแล้ว ก็ปล่อยให้พ่อแม่ปลาผสมพันธุ์กันเองในรองปูนซีเมนต์ โดยการจับคู่ 1:1 ไข่ปลาช่อนที่ได้จากการผสมจะฟักเป็นตัวในเวลา 30-36 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิน้ำ 27-28 องศาเซลเซียส หลังจากลูกปลาฟัก 3-4 วัน นำลงอนุบาลในบ่อดินขนาด 800 ตารางเมตร โดยให้ไรแดง ปลาป่น รำละเอียด และกากถั่วเหลือง เป็นอาหารวันละ 2 ครั้ง
เมื่อลูกปลาอายุได้ 8 วัน ก็จับขึ้นมาอนุบาลต่อในบ่อปูนซีเมนต์ และให้กินอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดแทน ลูกปลาจะเจริญเติบโตเร็วมาก
"เราอนุบาลลูกปลา 20 วัน ก็ได้ขนาดความยาวเฉลี่ย 4 เซนติเมตร ทดลองเพาะและเก็บข้อมูลตัวเลขพบว่า ดำเนินการเพาะ จำนวน 19 ครั้ง สามารถผลิตลูกปลาได้เกือบ 700,000 ตัว เลยทีเดียว" คุณวินัย กล่าว
พ่อแม่พันธุ์ปลาช่อน
ในช่วงแรก ๆ ทางสถานีได้รวบรวมพ่อแม่พันธุ์ปลาช่อนโดยการจัดซื้อจากตลาดและชาวบ้านภายในจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นปลาที่ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยเฉพาะจากลำแม่ลา ขนาดตั้งแต่ 250-1,000 กรัม นำมาเลี้ยงในบ่อดิน ขนาด 800 ตารางเมตร เลี้ยงด้วยปลาเป็ดบดผสมรำ อัตราส่วน 1:1 ให้ปลาผสมพันธุ์วางไข่เองตามธรรมชาติ
"เราจะรวบรวมลูกปลาขนาดเล็กจากบ่อดินมาอนุบาลและฝึกให้กินอาหารในบ่อปูนซีเมนต์ แล้วนำกลับไปเลี้ยงในบ่อดินด้วยอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดลอยน้ำ ประเภทปลาดุกเล็ก ซึ่งมีโปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ จนมีขนาดประมาณ 200 กรัม จึงนำมาเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ขนาด 5x10x1.30 เมตร ระดับน้ำสูง 50 เซนติเมตร ในอัตราความหนาแน่น 10 ตัว ต่อตารางเมตร โดยเลี้ยงแบบรวมเพศ เปลี่ยนถ่ายน้ำทุก 15 วัน"
น้ำในบ่อเลี้ยงควรให้มีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ 3.5-4.6 มิลลิกรัม ต่อลิตร ความเป็นกรดเป็นด่าง 7-7.8 ความกระด้าง 210-326 ppm. และ แอมโมเนีย 0.001-0.008 ppm.
สำหรับอาหารที่ให้กินนั้นจะใช้อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดลอยน้ำ ประเภทปลาดุกเล็กโปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ ในอัตรา 3-4 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักปลา แบ่งให้กินวันละ 3 มื้อ
คุณวินัย บอกว่าเมื่อพ่อแม่พันธุ์ปลามีขนาด 3-4 ขีด ก็เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว หากพิจารณาจากลักษณะภายนอก แม่ปลาที่มีความพร้อมลักษณะของท้องจะอูมเป่ง ช่องเพศลักษณะกลม ขยายตัวบวมใหญ่ สีชมพูหรือแดง ส่วนพ่อปลาลำตัวยาวเรียวกว่า ช่องเพศเป็นติ่งเรียวแหลมสีขาว พ่อปลาจะต้องคัดเลือกตัวที่มีขนาดใหญ่ ลักษณะแข็งแรง สมบูรณ์ ปราดเปรียว ไม่มีแผลหรือร่องรอยการติดโรค
ฉีดฮอร์โมนกระตุ้นผสมพันธุ์
การเพาะพันธุ์ปลาช่อนแต่ละครั้งนั้นเขาจะฉีดฮอร์โมนให้พ่อแม่พันธุ์ปลา เพื่อกระตุ้นให้ผสมพันธุ์กัน ทั้งนี้โดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ที่มีชื่อทางการค้าว่า Suprefact ร่วมกับยาเสริมฤทธิ์ ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Motilium โดยฉีดให้แม่ปลาครั้งเดียว ด้วยความเข้มข้นของฮอร์โมนเท่ากับ 20-35 ไมโครกรัม ต่อกิโลกรัม และยาเสริมฤทธิ์เท่ากับ 10 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม
ส่วนพ่อปลาฉีดพร้อมแม่ปลาด้วยความเข้มข้นของฮอร์โมนเท่ากับ 10 ไมโครกรัม ต่อกิโลกรัม และยาเสริมฤทธิ์เท่ากับ 10 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม
หลังจากฉีดแล้วปล่อยพ่อ-แม่ ให้ผสมพันธุ์กันเองในรองปูนซีเมนต์ หรือถังพลาสติกก็ได้ โดยเติมน้ำสูง 30 เซนติเมตร ในอัตราส่วนพ่อปลา : แม่ปลาเท่ากับ 1:1 ใส่ผักบุ้งหรือเชือกฟาง เพื่อให้ปลาใช้เป็นรังไข่
"สถานที่ผสมพันธุ์ปลาช่อน ต้องอยู่ในที่ร่ม และไม่มีเสียงอะไรไปรบกวน และควรใช้ซาแรนปิดปากบ่อหรือภาชนะที่ใช้ผสมพันธุ์ด้วย เพราะว่าในธรรมชาติเราพบว่าปลาช่อนชอบวางไข่ในสถานที่ที่แสงสว่างเข้าไปไม่ถึง" คุณวินัย กล่าว
เขาบอกว่า ในการเพาะพันธุ์แต่ละครั้งปลาจะผสมพันธุ์วางไข่หลังจากฉีดฮอร์โมนแล้ว 15 ชั่วโมง เป็นต้นไป โดยรัดและผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ
ฟักไข่ปลาช่อน
ไข่ปลาช่อนเป็นไข่ลอย สีเหลืองอ่อน มีหยดน้ำมันลอยปนอยู่กับไข่ บริเวณผิวหน้าน้ำ
หลังจากผสมพันธุ์วางไข่แล้วพ่อปลาจะเฝ้าระวัง ดูแลไข่ โดยว่ายวนเวียนใต้รัง และคอยไล่ไข่ให้รวมเป็นกลุ่ม ไม่กระจัดกระจาย
คุณวินัย บอกว่า เมื่อพ่อแม่พันธุ์ปลาผสมพันธุ์กันเองวางไข่แล้ว เราก็รวบรวมไข่ที่ได้ไปฟักในถังไฟเบอร์กลาส ขนาด 2 ตัน ใส่น้ำสูง 65 เซนติเมตร ให้น้ำไหลผ่าน ในอัตรา 5 ลิตร ต่อนาที และให้อากาศ โดยผ่านหัวทรายเบา ๆ 3-4 จุด
ไข่ที่ได้จะฟักเป็นตัวภายใน 30-36 ชั่วโมง อุณหภูมิน้ำ 27-28 องศาเซลเซียส ลูกปลาที่ฟักออกเป็นตัวใหม่ ๆ สีดำ มีถุงไข่แดงบริเวณหน้าท้อง ปลาจะหงายท้องลอยตัวบนผิวน้ำเป็นกลุ่ม ๆ
หลังจากประมาณ 3 วัน ลูกปลาสามารถว่ายน้ำได้เช่นเดียวกับปลาทั่วไป โดยจะว่ายวนรอบถังเป็นกลุ่มใหญ่ ก็ให้อากาศเพิ่มออกซิเจนแรงขึ้น
อนุบาลลูกปลาในบ่อดิน
เมื่อถุงไข่แดงยุบ ให้ไรแดงเป็นอาหาร ประมาณ 1-2 วัน จึงย้ายลงอนุบาลในบ่อดิน ขนาด 80 ตารางเมตร
คุณ วินัย บอกว่า ในการเตรียมบ่ออนุบาลนั้น ควรทำความสะอาดบ่อ กำจัดศัตรูออกให้หมด แล้วกรองน้ำลงบ่อให้ได้ระดับ 40 เซนติเมตร เตรียมอาหารสำหรับเพาะไรแดง โดยเติมปุ๋ยและอาหาร ดังนี้
- ปูนขาว 60 กิโลกรัม
- น้ำอามิ-อามิ 50 ลิตร
- ปุ๋ยสูตร 16-20-0 5 กิโลกรัม
- ปุ๋ยสูตร 46-0-0 5 กิโลกรัม
- น้ำเขียว 1000 ลิตร
ทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน เติมเชื้อไรแดง 2-3 กิโลกรัม หลังจากนั้น 3-4 วัน ไรแดงเกิดเต็มที่ เติมน้ำที่ผ่านการกรองลงบ่อ ให้ระดับน้ำสูงขึ้น 20 เซนติเมตร แล้วจึงปล่อยลูกปลา ให้อาหารลูกปลาด้วยปลาป่นผสมรำละเอียด และกากถั่วเหลืองในอัตรา 1:1 โดยละลายน้ำสาดทั่วบ่อ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
"ลูกปลาจะรวมกันกลุ่มใหญ่หากินรอบบ่อ เคลื่อนที่โดยว่ายน้ำขึ้นลงในแนวดิ่ง ผุดตามผิวหน้าน้ำ ลักษณะเช่นเดียวกับลูกปลาในธรรมชาติ คือ ลูกปลาช่อนในธรรมชาติ เมื่อลูกปลายังรวมกลุ่มกันอยู่ ลักษณะการเคลื่อนที่จะว่ายน้ำขึ้นลงในแนวดิ่ง ผุดตามผิวหน้าน้ำ มองเห็นได้ชัด และมักจะเกิดฟองอากาศตามผิวน้ำ"
คุณวินัย บอกว่า ลูกปลาในบ่อดินจะเจริญเติบโตเร็วมาก ทั้งขนาดน้ำหนักและความยาว โดยจากการศึกษาการเจริญเติบโตบางบ่อพบว่า เริ่มลงอนุบาลลูกปลาขนาดน้ำหนักเฉลี่ย 0.003 กรัม ความยาวเฉลี่ย 0.5 เซนติเมตร เมื่ออนุบาล 7 วัน ลูกปลามีขนาดน้ำหนักเฉลี่ย 0.12 กรัม ความยาวเฉลี่ย 2.13 เซนติเมตร
อายุ 14 วัน ปลาจะมีขนาดน้ำหนักเฉลี่ยเพิ่มเป็น 0.64 กรัม ความยาวเฉลี่ยเป็น 3.90 เซนติเมตร
คุณวินัย บอกว่า เมื่ออนุบาลลูกปลาได้ 20 วัน ก็สามารถนำออกจำหน่ายสู่เกษตรกรแล้ว โดยมีขนาดน้ำหนักเฉลี่ย 1.02 กรัม ความยาวเฉลี่ย 4.80 เซนติเมตร
"ลูกปลาที่ได้สีลำตัวเริ่มเปลี่ยนจากลายแดงเป็นสีเขียว และปลาจะเริ่มกินอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดขนาดจิ๋วได้ภายใน 3 วัน หลังนำขึ้นมาจากบ่อดิน และสามารถเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดได้ตลอดไป โดยการปรับขนาดของอาหารให้ใหญ่ขึ้นตามขนาดของปลา" คุณวินัย กล่าว
เขาบอกว่า ปัจจุบันนี้ยอดสั่งซื้อลูกพันธุ์ปลาช่อนมีจำนวนมาก ต้องทยอยผลิตส่งให้ บางคนติดต่อขอซื้อลูกปลาอายุ 8 วัน ไปอนุบาลเอง ซึ่งเราก็จำหน่ายไปในราคาถูก 20 สตางค์ ต่อตัว ส่วนลูกปลาอายุ 20 วัน ราคา 40 สตางค์ ต่อตัว
สนใจรายละเอียดปลาช่อนเพิ่ม ติดต่อ ได้ที่สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดสิงห์บุรี ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
ผู้เขียน ศุภชัย นิลวานิช
ข้อมูลจาก เทคโนโลยีชาวบ้าน วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 ปีที่ 14 ฉบับที่ 291
ข้อมูล การเลี้ยงปลาช่อน อีกที่นี่
วันที่ปรับปรุงข้อมูล : 20 ก.ค 2546
|