ตำบลตำบลนาโกอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
Poothai.20m.com Welcome to my Homepage เขียนโดย...สุชาติ ไชยสุข ต.นาโก อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์
การปลูก ข้าวโพดหวาน
ดูงานข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พืชพรรณคุณภาพเยี่ยม เมืองลพบุรี
บริษัท แปซิฟิคเมล็ดพันธุ์ จำกัด เป็นองค์กรหนึ่งที่มีเทคโนโลยีทันสมัย มีพืชพรรณตรงตามความต้องการของตลาด คุณสุขเกษม จิตสิงห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปซิฟิคฯ กล่าวว่า งานพัฒนาทางด้านเมล็ดพันธุ์ของบริษัท ทำมา 28 ปี แล้ว ชนิดของพืชมี ข้าวโพดไร่หรือข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดฝักอ่อน ข้าวโพดหวาน ข้าวฟ่าง ทานตะวัน "ข้าวฟ่างพื้นที่ปลูกล้านไร่ใช้เมล็ดพันธุ์ของเรา 80 เปอร์เซ็นต์ ทานตะวัน 90 เปอร์เซ็นต์ ข้าวโพดฝักอ่อนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ข้าวโพดหวานมาอันดับ 1" คุณสุขเกษม กล่าว
พันธุ์ข้าวโพดหวานชั้นหนึ่ง บริษัท แปซิฟิคฯ เป็นเจ้าแห่งข้าวโพดหวาน สายพันธุ์ที่รู้จักกันดีคือ ไฮ-บริกซ์ 10 ต่อมาทางบริษัทได้พัฒนาต่อเนื่อง ได้สายพันธุ์ใหม่ดีกว่าเดิม คือ สายพันธุ์ไฮ-บริกซ์ 3 คุณไพศาล หิรัญมาศสุวรรณ นักปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพด ฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท แปซิฟิคฯ เล่าความเป็นมาของการวิจัยข้าวโพดสายพันธุ์ใหม่ว่า พื้นที่ปลูกข้าวโพดหวานในเมืองไทย เฉลี่ย 2 แสนไร่ ต่อปี ใช้เมล็ดพันธุ์ 300-350 ตัน ต่อปี "เกษตรกรนิยมใช้พันธุ์ของเรามาก ตอนนี้เรารุกตลาดโรงงาน ไฮ-บริกซ์ 10 แปรรูปแล้วคุณภาพยังไม่เด่นนัก จึงต้องปรับปรุงพันธุ์ใหม่ขึ้นมา เลยได้ไฮ-บริกซ์ 3 พันธุ์นี้เกิดขึ้นปี 2543 จริง ๆ แล้วพัฒนามาก่อนหน้านี้ ปี 2543 ทดสอบกว้างขึ้น เริ่มแรกทดสอบอยู่ลพบุรี ต่อมาขยายไปเชียงใหม่ กาญจนบุรี นอกจากนี้ ยังทดสอบที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท ของกรมวิชาการเกษตร ศูนย์วิจัยข้าวโพดข้าวฟ่างแห่งชาติ ปากช่อง พบว่าให้ผลผลิตสูง ฝักอ้วนใหญ่ จำนวนแถวเยอะ 16-18 แถว ต่อฝัก เตะตา บางฝักมี 20 แถว ติดเมล็ดเต็มถึงปลาย สีสวยสีเหลืองทอง ความหวาน 15-18 บริกซ์ ผลผลิตมากกว่าไฮ-บริกซ์ 10 ซึ่งเป็นพันธุ์เดิม 10 เปอร์เซ็นต์" คุณไพศาล เล่าและอธิบายต่ออีกว่า "มีการวิจัยเรื่องโรคแมลง พบว่ามีความต้านทานโรคราสนิม ระบบรากแข็งแรง ต้นเตี้ยกว่าไฮ-บริกซ์ 10 เริ่มแรกเราขายให้กับผู้ขายส่ง โดยยังไม่มีใครรู้จัก เมื่อผู้ขายส่งขายให้กับผู้ขายรายย่อย ปรากฏว่าผลตอบรับย้อนกลับมา จากผู้บริโภคถึงผู้ขายส่ง มีเท่าไหร่รับหมด มีการทดลองส่งเข้าโรงงานแล้ว เมื่อผ่านการแปรรูป ผลิตภัณฑ์คุณภาพดี" คุณไพศาล บอกว่า ข้าวโพดหวานไฮ-บริกซ์ 3 เป็นสายพันธุ์อเนกประสงค์ คือกินสดได้อร่อย ส่งเข้าโรงงานดี ลองมาดูลักษณะของข้าวโพดไฮ-บริกซ์ 3 กันดูดีกว่า ว่าโดดเด่นอย่างไร ไฮ-บริกซ์ 3 ผลผลิตทั้งเปลือก 3,719 กิโลกรัม ต่อไร่ ผลผลิตปอกเปลือก 2,553 กิโลกรัม ต่อไร่ เปอร์เซ็นต์เนื้อมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์ วันออกไหม 51 วัน ต้นสูง 200 เซนติเมตร ความสูงฝัก (ติดฝักสูงจากพื้นดิน) 110 เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยวหลังออกไหม 20 วัน อายุเก็บเกี่ยวหลังปลูก 70-75 วัน ไหมสีขาว เมล็ดสีเหลือง จำนวนแถวในฝัก 16-18 แถว ฝักยาว 20-22 เซนติเมตร ฝักกว้าง 5.5-6 เซนติเมตร ความหวานที่แนะนำไปแล้ว 15-18 บริกซ์ แต่บางฤดูกาลบางพื้นที่ พบว่าสูงกว่านี้ คุณไพศาล บอกว่า เมล็ดพันธุ์ไฮ-บริกซ์ 3 ปัจจุบันกระจายพันธุ์ไปทุกภาคของประเทศไทย และได้รับความนิยมขึ้นตามลำดับ ถึงแม้เพิ่งเปิดตัวก็ตามที

เสียงจากเกษตรกร คุณสมบูรณ์ อยู่จำเนียร ประธานกลุ่มเกษตรกรทำไร่ซับสนุ่น อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี บอกว่า ตนเองมีอาชีพทำไร่ ชนิดของพืชที่ทำอยู่มีข้าวโพด ฝ้าย บางช่วงผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองส่งศูนย์ขยายพันธุ์พืช สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลูกในพื้นที่ 28 ไร่ สายพันธุ์ข้าวโพดเคยปลูกมากมาก แต่ค้นพบว่า ปัจจุบันประทับใจใน สกต. 984 "ข้าวโพดที่จะปลูกต้องดูความชื้น ดูฝน ปีหนึ่งปลูกได้ 2 ช่วง คือเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ใช้เมล็ดพันธุ์ 2.8-3 กิโลกรัม ต่อไร่ ประสบการณ์ที่มีอยู่ ผมปลูกข้าวโพด ปรากฏว่าแล้งมากเป็นเวลา 18 วัน ใบเหลืองซีดตั้งแต่ใบล่างขึ้นไป เหลืออยู่ไม่กี่ใบที่สมบูรณ์ เจ้าหน้าที่ไปเห็น บอกว่าของผมแย่แน่ แต่เมื่อถึงเวลาเก็บ ได้ 1,516 กิโลกรัม ต่อไร่ ข้าวโพดพันธุ์นี้รากยึดแน่นดีมาก ไม่ล้ม เก็บผลผลิตขายทั้งฝักได้กิโลกรัมละ 2.95 บาท สีแห้งเกือบ 4 บาท ผมหักอายุ 107 วัน ความชื้น 26-27 เปอร์เซ็นต์" คุณสมบูรณ์ บอกต่ออีกว่า "ก่อนตัดสินใจปลูก วกต. 954 ผมมีตัวอย่าง คือมีพื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกพันธุ์เดิม พื้นที่เท่ากับเกษตรกรรายอื่น ที่ปลูก สกต.984 เขาได้ 15 กระสอบ ผมได้ 10 กระสอบ จึงเปลี่ยนพันธุ์ปลูก ผมทำ 28 ไร่ ได้แสนกว่า ๆ ต่อไร่ มีรายได้ 5,336 บาท ต้นทุน 2,122 บาท มีกำไร 3,214 บาท กลุ่มของผมกว่า 200 คน ใช้ตัวนี้ ข้อดีที่พบอยู่นั่น สกต. 984 ทนแล้ง หักง่าย สีเมล็ดเป็นที่ต้องการของตลาด" เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ นักวิชาการเกษตรพูดอยู่เสมอว่า ต้นทุนการผลิตในส่วนของเมล็ดพันธุ์นั้นไม่มาก หากใช้พันธุ์ดี มีโอกาสประสบความสำเร็จไม่น้อย เป็นคำพูดที่ถูกต้อง แต่ปัจจัยอย่างอื่นก็ต้องพร้อมด้วย จึงจะหนุนส่งไปในทิศทางที่ก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติดูแลรักษา และสุดท้าย...ตาดหละ...ตลาด ผู้สนใจข้อมูลมากกว่านี้ ถามได้ที่ คุณไพศาล หิรัญมาศสุวรรณ คุณมนตรี คงแดง บริษัท แปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัด 1 หมู่ 13 ถ.พหลโยธิน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี 18120 โทร. (036) 266-316, (036) 266-097
วิธีการปลูกข้าวโพดหวานให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพฝักสดดี การเตรียมดิน การเตรียมดินถือเป็นหัวใจของการปลูกข้าวโพดหวานให้ได้ผลผลิตสูง เพราะถ้าดินมีสภาพดีเหมาะกับการงอกของเมล็ดจะทำให้มีจำนวนต้นต่อไร่สูง ผลผลิตต่อไร่ก็จะสูงตามไปด้วย การเตรียมดินที่ดีควรมีการไถดะและทิ้งตากดินไว้ 3-5 วัน จากนั้นจึงไถแปรเพื่อย่อยดินให้แตกละเอียดไม่เป็นก้อนใหญ่เหมาะกับการงอกของเมล็ด ควรมีการหว่านปุ๋ยคอก เช่น ปุ๋ยขี้ไก่ เป็นต้น อัตราประมาณ 1 ตัน ต่อไร่ ก่อนการไถแปร เพื่อเป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น สามารถอุ้มน้ำได้นานขึ้น และยังเป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้กับข้าวโพดหวาน
การปลูก ควรปลูกเป็นแถวเป็นแนวซึ่งสามารถปลูกได้สองวิธี คือ
1. การปลูกแบบแถวเดี่ยว ระยะระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น จำนวนต้นต่อไร่ประมาณ 7,000-8,500 ต้น จะใช้เมล็ดประมาณ 1.0-1.5 กิโลกรัม ต่อไร่
2. การปลูกแบบแถวคู่ มีการยกร่องสูง ระยะระหว่างร่อง 120 เซนติเมตร ปลูกเป็นสองแถวข้างร่องระยะห่างกัน 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร 1 ต้น ต่อหลุม จะมีจำนวนต้นประมาณ 7,000-8,500 ต้น ต่อไร่ และใช้เมล็ดประมาณ 1.0-1.5 กิโลกรัม ต่อไร่ การให้น้ำจะปล่อยน้ำตามร่องซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกดี
การใส่ปุ๋ย ปุ๋ย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปลูกข้าวโพดหวาน เพราะปัจจุบันพื้นที่การเกษตรของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกพืชติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงจึงควรใส่ธาตุอาหารพืช (ปุ๋ย) เพิ่มเติมลงในดิน การใส่ปุ๋ยในข้าวโพดหวานมีขั้นตอน ดังนี้
1. การใส่ปุ๋ยรองพื้น สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 15-15-15 หรือ 25-7-7 หรือ 16-16-8 อัตรา 50 กิโลกรัม ต่อไร่ ใส่พร้อมปลูกหรือใส่ขณะเตรียมดิน หมายเหตุ : ถ้าปลูกด้วยมือ ควรหยอดปุ๋ยที่ก้นหลุมแล้วกลบดินบาง ๆ ก่อนหยอดเมล็ด ไม่ควรให้ปุ๋ยสัมผัสกับเมล็ดโดยตรงเพราะอาจทำให้เมล็ดเน่าได้
2. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า ครั้งที่ 1 สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 46-0-0 (ยูเรีย) อัตรา 25-30 กิโลกรัม ต่อไร่ ใส่เมื่อข้าวโพดมีอายุ 20-25 วัน หลังปลูก โรยข้างต้นในขณะดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม หรือพูนโคนกลบปุ๋ยก็จะเป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว
3. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า ครั้งที่ 2 เมื่อข้าวโพดมีอายุ 40-45 วัน หลังปลูก ถ้าแสดงอาการเหลืองหรือไม่สมบูรณ์ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 25 กิโลกรัม ต่อไร่ โรยข้างต้นในขณะดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม
การกำจัดวัชพืช ถ้าแปลงปลูกข้าวโพดหวานมีวัชพืชขึ้นมากจะทำให้ข้าวโพดไม่สมบูรณ์ ผลผลิตจะลดลงจึงควรมีการกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก วิธีการกำจัดวัชพืชสามารถทำได้ ดังนี้
1. การฉีดยาคุมวัชพืช ใช้ยาอะทราซีนผสมกับอลาคลอร์ โดยใช้ยาอะทราซีน อัตรา 150-160 กรัม และอลาคลอร์ อัตรา 125 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นลงดินหลังจากปลูกก่อนที่วัชพืชจะงอกขณะฉีดพ่นดินควรมีความชื้นเพื่อทำให้ยามีประสิทธิภาพดีขึ้น
2. การฉีดยาฆ่าวัชพืช สารเคมีที่ใช้สำหรับกำจัดวัชพืช ได้แก่ พาราควอท หรือกรัมม็อกโซน และไกโฟเลทหรือราวด์อัพ ฉีดพ่นวัชพืชก่อนการเตรียมดินหรือฉีดพ่นในร่องข้าวโพดในกรณีที่มีวัชพืชขึ้นมากและต้นข้าวโพดโตพอสมควร เพราะถ้าต้นข้าวโพดมีขนาดเล็ก ยาจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของข้าวโพด
การให้น้ำ ระยะที่ข้าวโพดหวานขาดน้ำไม่ได้คือ ระยะ 7 วันแรก หลังปลูก เป็นระยะที่ข้าวโพดกำลังงอก ถ้าข้าวโพดหวานขาดน้ำช่วงนี้จะทำให้การงอกไม่ดี จำนวนต้นต่อพื้นที่ก็จะน้อยลง จะทำให้ผลผลิตลดลงไปด้วย ระยะที่ขาดน้ำไม่ได้อีกช่วงหนึ่งคือ ระยะออกดอก การขาดน้ำในช่วงนี้จะมีผลทำให้การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่ดี ติดเมล็ดไม่เต็มถึงปลายหรือติดเมล็ดเป็นบางส่วน ซึ่งฝักที่ได้จะขายได้ราคาต่ำ โดยปกติถ้าเป็นพื้นที่ที่สามารถให้น้ำได้ควรให้น้ำทุก 3-5 วัน ขึ้นกับสภาพต้นข้าวโพดและสภาพอากาศ แต่ช่วงที่ควรให้น้ำถี่ขึ้นคือ ช่วงที่ข้าวโพดกำลังงอกและช่วงออกดอก
การเก็บเกี่ยว โดยปกติข้าวโพดหวานจะเก็บเกี่ยวเมื่อมีอายุประมาณ 70-75 วัน หลังปลูก แต่ระยะที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวที่สุด คือระยะ 18-20 วัน หลังข้าวโพดออกไหม 50% (ข้าวโพด 100 ต้น มีไหม 50 ต้น) ถ้าปลูกในช่วงอากาศหนาวเย็นอายุการเก็บเกี่ยวอาจจะยืดออกไปอีก หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วควรรีบส่งโรงงานหรือจำหน่ายโดยเร็วเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ หากขาดน้ำจะมีผลต่อเมล็ดและน้ำหนักของฝัก
ปัญหาและการแก้ไข ปัญหาของการปลูกข้าวโพดหวานที่พบเห็นบ่อย ๆ มีดังนี้
1. ความงอก ก่อนปลูกทุกครั้งให้ทดสอบความงอกของเมล็ดที่จะปลูกก่อน โดยการสุ่มเมล็ดจากถุงประมาณ 100 เมล็ด แล้วปลูกลงในกระบะทรายหรือดินแล้วรดน้ำเพื่อทดสอบความงอก นับต้นที่โผล่พ้นดินในวันที่ 7 ถ้ามีจำนวนต้นเกิน 85 ต้น ถือว่ามีอัตราความงอกที่ใช้ได้ก็สามารถนำเมล็ดพันธุ์ถุงนั้นไปปลูกได้
2. โรคราน้ำค้าง ปัจจุบันพันธุ์ข้าวโพดหวานเกือบทุกพันธุ์ที่ขายในประเทศไทยเป็นพันธุ์ที่ไม่ต้านทานโรคราน้ำค้าง แต่บางสายพันธุ์ได้ผ่านการคลุกยาป้องกันโรคราน้ำค้าง (เมตาแลกซิล) ในอัตรายาที่เหมาะสม เมื่อปลูกแล้วจะไม่พบว่าเป็นโรค แต่การปลูกที่ผิดวิธีก็อาจเป็นสาเหตุให้เป็นโรคราน้ำค้างได้ การปลูกที่ผิดวิธีที่พบเห็นบ่อย ๆ มีดังนี้
2.1 แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำก่อนปลูก เกษตรกรเชื่อว่าการแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำก่อนปลูกจะทำให้การงอกดีและมีความสม่ำเสมอ แต่การแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำก่อนปลูกจะทำให้ยาที่คลุกติดมากับเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นยาป้องกันโรคราน้ำค้างละลายหลุดออกไป ทำให้ยาที่เคลือบเมล็ดมีน้อยลงหรือไม่มีเลย เมื่อนำเมล็ดพันธุ์ที่แช่น้ำไปปลูก ต้นอ่อนที่งอกออกมาจึงเป็นโรคราน้ำค้าง วิธีแก้ไข คือ ไม่แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำก่อนปลูกหรือคลุกสารเคมีอื่นเพิ่ม เพราะมีผลต่อความต้านทานโรคราน้ำค้างและความงอกของเมล็ดพันธุ์
2.2 ปล่อยน้ำท่วมขังแปลงหลังปลูก เกษตรกรบางรายเมื่อปลูกเสร็จจะปล่อยน้ำท่วมแปลงปลูกหรือปล่อยน้ำท่วมร่องปลูก ซึ่งน้ำจะท่วมขังอยู่เป็นเวลานานกว่าจะซึมลงดินหมด เมล็ดจะแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ยาป้องกันโรคราน้ำค้างที่เคลือบเมล็ดอยู่จะละลายหายไปกับน้ำ ทำให้ต้นอ่อนที่งอกขึ้นมาไม่ได้รับยาป้องกันโรคราน้ำค้าง จึงแสดงอาการเป็นโรคให้เห็น วิธีแก้ไข คือ ให้น้ำในแปลงก่อนการปลูกและรอให้ดินมีความชื้นเหมาะกับการงอกของเมล็ดจึงปลูก ยาที่เคลือบเมล็ดจะไม่ละลายหลุดไปกับน้ำ ต้นอ่อนที่งอกออกมาจึงได้รับยาอย่างเต็มที่และไม่เป็นโรคราน้ำค้าง
3. การระบาดของหนู พื้นที่ที่ปลูกข้าวโพดหวานติดต่อกันหลายรุ่นมักจะพบว่ามีหนูระบาดและมักจะเข้าทำลายข้าวโพดหวานในระยะงอกและระยะก่อนเก็บเกี่ยว เมื่อมีหนูระบาดจะทำให้ผลผลิตลดลง ฝักที่เก็บได้มีร่องรอยการทำลายของหนูทำให้ขายไม่ได้ แก้ไขโดยการวางยาเบื่อหนู ซึ่งทำได้โดยใช้ข้าวโพดหวานฝักสดฝานเอาแต่เนื้อผสมกับยาเบื่อหนูที่เป็นผงสีดำ (Zinc phosphide) คลุกเคล้าให้ทั่วแล้วหว่านให้ทั่วในแปลงหลังจากปลูกเสร็จ (อาจจะหว่านในช่วงหลังปลูก คือข้าวโพดกำลังงอก) และในช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว (ช่วงข้าวโพดกำลังเป็นน้ำนมประมาณ 65-70 วัน หลังปลูก) หว่านติดต่อกันสัก 3 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 2-3 วัน จะทำให้การระบาดของหนูลดลง
4. หนอนเจาะฝักข้าวโพด บางฤดูจะพบว่ามีการระบาดของหนอนเจาะฝักเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ฝักที่เก็บเกี่ยวได้มีตำหนิขายไม่ได้ราคา ผลผลิตต่อไร่ลดลง สามารถป้องกันการระบาดได้โดยการหมั่นตรวจแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะในระยะเริ่มผสมเกสร ถ้าพบว่าเริ่มมีหนอนเจาะฝักให้ใช้ยา ฟลูเฟนนอกซูรอน หรือฟิโปรนิล (ชื่อสามัญ) ในอัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นที่ฝัก 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน
5. มวนเขียว หลังจากข้าวโพดผสมเกสรแล้ว บางครั้งจะมีมวนเขียวระบาดโดยเฉพาะช่วงฝนทิ้งช่วงหรือในหน้าแล้ง มวนเขียวจะใช้ปากเจาะฝักข้าวโพดและดูดกินน้ำเลี้ยงจากเมล็ดที่ยังอ่อนอยู่ซึ่งจะไม่เห็นร่องรอยการทำลายจากภายนอก เมื่อเก็บเกี่ยวจะพบว่าเมล็ดมีรอยช้ำหรือรอยดำด่างทำให้ขายไม่ได้ราคา ป้องกันได้โดยการหมั่นเดินตรวจแปลงในระยะหลังจากผสมเกสรแล้วถ้าพบมวนเขียวให้ฉีดพ่นด้วยยา คาร์โบซัลแฟน (ชื่อสามัญ) อัตรา 40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นที่ฝักข้าวโพด
6. เพลี้ยไฟ ถ้าข้าวโพดหวานออกดอกในช่วงฝนทิ้งช่วงหรือในหน้าแล้ง มักจะพบว่ามีเพลี้ยไฟ (แมลงตัวเล็ก ๆ สีดำ) เกาะกินน้ำเลี้ยงที่ไหมของฝักข้าวโพดทำให้ไหมฝ่อ การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่ดีตามไปด้วย ป้องกันได้โดยหมั่นตรวจแปลงในระยะออกดอก ถ้าพบว่ามีเพลี้ยไฟเกาะที่ไหม ให้ใช้ยาเอ็นโดซันแฟน (ชื่อสามัญ) หรือ วีฟอส (ชื่อการค้า) อัตรา 40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นที่ฝัก
7. ข้าวโพดไม่หวาน ถ้าพบว่า ข้าวโพดหวานฝักสดมีรสชาติไม่หวานแสดงว่าดินในแปลงที่ปลูกข้าวโพดขาดธาตุโพแทสเซียม (K) ธาตุโพแทสเซียมจะช่วยให้การสะสมน้ำตาลในเมล็ดดีขึ้นแก้ไขได้โดยการใส่ปุ๋ยรองพื้นที่มีธาตุโพแทสเซียมร่วมด้วย เช่น ปุ๋ยสูตร 25-7-7 หรือ 16-16-8 หรือ 13-13-21 ขึ้นกับสภาพดิน ถ้าดินขาดโพแทสเซียมมากก็ควรใส่ปุ๋ยสูตรที่มีค่า K สูง
8. เปลือกหุ้มฝักเหลือง การเก็บเกี่ยวที่อายุเกิน 20 วัน หลังออกไหม 50% จะมีผลทำให้เปลือกหุ้มฝักมีสีเขียวอ่อนลงดูเหมือนฝักจะแก่ บางครั้งถึงแม้ว่าจะเก็บเกี่ยวที่อายุเหมาะสม เปลือกหุ้มฝักก็ยังมีสีออกเหลือง การแก้ไขทำโดยการเพิ่มปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 15-20 กิโลกรัม ต่อไร่ โรยข้างต้นข้าวโพดในขณะดินมีความชื้นในระยะที่ข้าวโพดออกดอก จะทำให้เปลือกหุ้มฝักมีสีเขียวอยู่ได้นานขึ้น
9. โรคราสนิม ถ้ามีโรคราสนิมระบาดรุนแรงจะทำให้ฝักข้าวโพดไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่เต็มถึงปลายขายไม่ได้ราคา ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคราสนิมอยู่เป็นประจำควรฉีดพ่นด้วยยาไดฟีโนโคนาโซล (ชื่อสามัญ) หรือสกอร์ (ชื่อการค้า) อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อเริ่มเป็นโรค
ผู้เขียน พานิชย์ ยศปัญญา
ข้อมูลจาก เทคโนโลยีชาวบ้าน วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 ปีที่ 15 ฉบับที่ 310

ข้อมูล การปลูกข้าวโพดหวานอีกที่นี่
วันที่ปรับปรุงข้อมูล : 20 ก.ค 2546